อาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ที่พบบ่อย สามารถแบ่งได้ดังนี้

การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

1.เอ็นไขว้หน้าเข่าฉีกขาด

เป็นการบาดเจ็บของเอ็นไขว้หน้าเข่า หรือ (Anterior Cruciate Ligament – ACL) ส่วนมากมักพบในผู้ที่เล่นฟุตบอล เนื่องจากมีการใช้ข้อเข่าขณะวิ่ง หรือออกแรงเตะ จนทำให้เกิดการบิดงอของข้อเข่ากระทันหัน จนทำให้เอ็นไขว้หน้าเข่า ซึ่งเป็นเอ็นหลักที่ช่วยรักษาความมั่นคง และควบคุมการเคลื่อนไหวของเข่าเกิดการบาดเจ็บได้ จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ปวด บวม อักเสบบริเวณเข่า เดินลงน้ำหนักเข่าได้ไม่เต็มที่ ทำให้เดินกะเผลก หรือบางรายอาจได้ยินเสียงลั่นในข้อเข่าขณะเคลื่อนไหว ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดหมอนรองเข่าและกระดูกอ่อนบริเวณเข่าเกิดการบาดเจ็บเรื้อรัง จนทำให้เกิดเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควรได้
 

2.ITBS หรือ Iliotibial band syndrome

เป็นการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ Iliotibial band (คือกล้ามเนื้อพิเศษที่ยาวตั้งแต่บริเวณเอว-เข่า) ซึ่งพบบ่อยใน นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือนักเดินทางไกล เนื่องจากมีการใช้งานมัดกล้ามเนื้อ ITB มากเกินไป จนเกิดการเกร็งตัวและเกิดการอักเสบของมัดกล้ามเนื้อ จนเกิดเป็นอาการปวดหัวเข่าด้านนอก ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวขึ้นต้นขาและสะโพกร่วมด้วย โดยอาการจะปวดมากขณะวิ่ง หรือออกกำลังกาย และจะเป็นหนักขึ้นถ้ายังออกกำลังกายต่อไป

 

3.หมอนรองข้อเข่าฉีกขาด (Miniscus tear) 

เป็นการบาดเจ็บของหมอนรองข้อเข่า โดยปกติหมอนรองข้อเข่ามีหน้าที่รับแรงกระแทกของร่างกายขณะวิ่ง ยืน เดิน หรือมีการใช้น้ำหนักกดลงบนข้อเข่า ดังนั้นการบาดเจ็บของหมอนรองข้อเข่า จึงมักเกิดในการเล่นกีฬาที่มีการใช้ความเร็วหรือมีการชนกระแทกกัน เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เป็นต้น เมื่อหมอนรองข้อเข่าเกิดการบาดเจ็บ จะทำให้มีอาการ ปวด บวม อักเสบบริเวณข้อเข่า ข้อเข่าติดขัดขณะเคลื่อนไหว หรือข้อเข่าฝืด นอกจากนี้ยังไม่สามารถเหยียดหรืองอข้อเข่าได้สุด หากไม่ได้รับการรักษา แต่ยังใช้งานเข่าซ้ำๆ จะทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกภายในข้อเข่าจนกระดูกเกิดความเสื่อมสภาพ กายเป็นภาวะข้อเข่าเสื่อมได้ในที่สุด

 

4.Tennis Elbow หรือ เอ็นข้อศอกด้านนอกอักเสบ

เป็นโรคที่มักพบในนักกีฬา เทนนิส หรือ ผู้ที่เหยียดแขน/กระดกข้อมือซ้ำๆ เป็นเวลานาน เนื่องจากมีการใช้งานของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกมากเกินไป จนเกิดการบาดเจ็บและอักเสบตามมา จึงทำให้เกิดอาการปวดบริเวณข้อศอกด้านนอก บางรายอาจมีการปวดร้าวลงแขนท่อนล่างและข้อมือ ส่งผลให้ลำบากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น หยิบจับสิ่งของ ยกของ งอแขน จะมีอาการปวดมากขึ้น เป็นต้น
 

5.Golfer’s elbow หรือ เอ็นข้อศอกด้านในอักเสบ

ส่วนใหญ่เป็นโรคที่พบใน นักกอล์ฟ เนื่องจากมีการใช้งานกลุ่มมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณข้อศอกด้านในอย่างมาก จึงทำให้เกิดการอักเสบขึ้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อศอกด้านใน จะปวดมากขึ้นขณะเหยียดข้อศอกแล้วกระดกมือขึ้น หากมีอาการรุนแรงอาจปวดลามลงไปถึงข้อมือได้
 

6.การบาดเจ็บจากการยกเวท

การยกเวทเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่มัดกล้ามเนื้อ แต่หากยกไม่ถูกวิธี ไม่ถูกท่า หรือยกโดยใช้น้ำหนักที่มากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งอาการบาดเจ็บจากการยกเวท แบ่งได้ดังนี้

  1. อาการปวดหลังจากการยกเวท มักเกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อหลัง ทำให้มีอาการปวดบริเวณหลังล่าง เคลื่อนไหวตัวลำบาก เอี้ยวตัวไม่ได้ ก้มตัวไม่ได้ หรือในบางรายอาจมีอาการปวดหลังร้าวลงขา หากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการดึงรั้งของมัดกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง จนทำให้เกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ในอนาคต
  2. อาการปวดคอ บ่า ไหล่ จากการยกเวท ผู้ป่วยมักมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ แขน แขนไม่มีแรง หรือบางรายอาจมีการเกร็งของมัดกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่จนไปรบการทำงานของเส้นประสาท จนเกิดเป็นอาการชาแขน ชามือ ได้

หากคุณอยากลาขาดจากอาการที่เป็นอยู่ ไม่อยากให้มารบกวนชีวิต รบกวนการพักผ่อน หรือ รบกวนการทำงานของคุณอีกต่อไป

หากคุณอยากจบอาการนี้อย่างถาวรเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่คนรอบข้าง  เมื่อยามแก่ตัวลง

หากคุณอยากกลับไปทำงาน หรือออกกำลังกายได้เต็มที่อีกครั้ง

หยุดเสียเวลา ไปกับการลองผิดลองถูกในการรักษา หยุดเสียเงิน ไปกับการรักษาที่ไม่เห็นผล

รายละเอียดในการรักษา

ข้อมูลที่เกี่่ยวข้องกับการรักษา

ปกติแล้ว 90% ของผู้ป่วย จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก (ในเคสที่เป็นมาไม่นาน จะดีขึ้นเลยทันที แต่ในเคสที่เป็นเรื้อรังมา จะดีขึ้นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แล้วจะยังเหลืออาการปวดอยู่ เนื่องจากยังแก้ได้ไม่หมด)

แต่จะมีผู้ป่วย 10% ที่ไม่เห็นผลจากการรักษาครั้งแรก เนื่องจากว่า ผู้ป่วยมีอาการสะสมมานาน โดยอาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะไปเห็นผลในครั้งที่ 2-3 แทนค่ะ

ในผู้ป่วยที่มีอาการมาไม่เกิน 3 เดือน จะรักษาหายเร็วมาก 1-2 ครั้ง แล้วจบเลย

แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการมานานกว่านั้น ผู้ป่วยอาจจะต้องรักษา แบบต่อเนื่องเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งโดยเฉลี่ยผู้ป่วยจะใช้ระยะเวลารักษา 3-8 ครั้ง (บางเคสหายเร็ว บางเคสหายช้ากว่านี้) สาเหตุที่ต้องรักษาหลายครั้ง เพราะเราต้องการให้อาการดีขึ้นอย่างถาวร และป้องกันการกลับมามีปัญหาทรุดหนักเมื่ออายุมากขึ้น

* ผู้ป่วยบางท่านมีอาการสะสมมานานตั้งแต่สมัยหนุ่มสาวแต่ “ไม่รู้ตัว” และเพิ่งมา “ออกอาการ” ได้ไม่นาน ถ้าเป็นลักษณะนี้ จะต้องรักษา “แบบต่อเนื่อง” นะคะ *

แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเรื้อรังมานานกว่า 10 ปี เฉลี่ยแล้วจะใช้เวลารักษาประมาณ 10-15 ครั้ง (ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าใจและยอมรับก่อนว่า อาการที่เป็นเรื้อรังนานเช่นนี้ จะไม่สามารถรักษาหายได้รวดเร็วอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบไหนก็ตาม ถ้าผู้ป่วยใจร้อนและอยากหายเร็วๆ เราไม่แนะนำให้มาค่ะ เพราะทางคลินิกอาจจะไม่สามารถรักษาให้หายเร็วตามความคาดหวังได้)

ที่นี่รักษาเดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 30-90 นาที ขึ้นอยู่กับความหนัก-เบาของอาการค่ะ

✅ ไม่อยากใช้ยาไปตลอด ไม่อยากผ่าตัด

✅ ผู้ที่รักษามาแล้วหลายที่ แต่อาการยังไม่ดีขึ้น

✅ ผู้ที่ไม่อยากเสียเวลาลองผิดลองถูกกับการรักษาที่ไม่ได้ผล

✅ ผู้ที่อยากจบปัญหาตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อยากให้อาการที่เป็นอยู่ลุกลามทรุดหนักในอนาคต

✅ ผู้ที่ต้องการมีร่างกายที่ดี เมื่ออายุมากขึ้น ไม่อยากเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง

✅ ผู้ที่อยากมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่บาดเจ็บ/ไม่ปวดง่าย

✅ ผู้ที่ออกกำลังกายหนักเป็นประจำ และต้องการเคลียร์อาการบาดเจ็บต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายออก เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บหนักในอนาคต

ที่คลินิกเรารักษาด้วยการนวดค่ะ แต่จะไม่เหมือนกับการนวดทั่วๆ ไป เพราะการนวดทั่วไปนั้น เป็นการนวดแค่คลายกล้ามเนื้อชั้นตื้นๆ ไม่ได้ลงลึกไปแก้ที่สาเหตุ ไม่ใช่การรักษา ดังนั้นจึงไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นแบบถาวรได้

การนวดรักษาของทางคลินิกจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ค่ะ:

1. การนวดแผนไทยประยุกต์

ในขั้นตอนนี้ จะนวดโดยการใช้ข้อศอก นวดลงเฉพาะจุดที่มีอาการ เพื่อทำให้กล้ามเนื้อชั้นบนและกล้ามเนื้อชั้นลึก (Deep tissue) คลายตัว จากการหดเกร็ง และการแข็งตึง

ปกติการนวดในขั้นตอนนี้ จะเป็นเพียงการเตรียมกล้ามเนื้อสำหรับการรักษาในขั้นถัดไป แต่ด้วยเทคนิคเฉพาะของทางคลินิก เราสามารถนำการนวดลักษณะนี้มาช่วยแก้อาการเมื่อยเรื้อรัง  ตึงเรื้อรัง รวมถึงช่วยแก้อาการกล้ามเนื้อสันหลังอักเสบ และ อาการกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท ได้อีกด้วย

2. การนวดแกะเส้น

ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการใช้นิ้วมือ “ขยับ” มัดกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ “จม” ให้เคลื่อนกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม และขยับมัดกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวชิดกันจนบีบรัดเส้นประสาท ที่อยู่ด้านใน ให้คลายตัวออกจากกัน

การนวดในขั้นตอนนี้ จะช่วยเรื่องอาการจมได้ เช่น สะบักจม รวมถึง อาการชา อาการตะคริว เช่น มือชา แขนชา ตะคริวที่น่อง เป็นต้น และยังช่วยในเรื่องของอาการ “ตึงรั้ง” ต่างๆ เช่น ตึงจากคอขึ้นศรีษะ ตึงจากบ่าลงแขน เป็นต้น

3. การนวดสลายพังผืด

ในขั้นตอนนี้ เราจะใช้ไม้เล็กๆ นวด เพื่อสลาย:

 พังผืด (adhesion) ที่เกาะอยู่ในบริเวณ ข้อต่อ หรือ หมอนรองกระดูก ที่ทำให้ข้อต่อ หมอนรองกระดูกเกิดอาการแข็ง ยึด ไม่ยืดหยุ่น มีเสียงก๊อกแก็ก เวลาขยับข้อต่อนั้นๆ

✅ จุดปวดเกร็ง (Trigger points) ที่ฝังตัวอยู่ในมัดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น และที่บีบรัดจนเส้นประสาทไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจุดปวดเกร็งนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด อาการ ปวด ชา แสบร้อน ไฟช็อต ยิบๆ หรืออาการผิดปกติอื่นๆ

เมื่อพังผืดและจุดปวดเกร็งสลายตัวออก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ หมอนรองกระดูก จะกลับมา มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อจะคลายตัวอย่างแท้จริง เส้นประสาทจะกลับมาทำงานได้ปกติอีกครั้ง เลือดลมจะหมุนเวียนได้คล่อง อาการปวด ชา แสบร้อน หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ก็จะ “หมดไป” และ ไม่กลับมาเป็นซ้ำๆ อีกในอนาคต

ในภาวะของผู้ที่เป็น หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท กระดูกทรุด หรือกระดูกเสื่อมนั้น เมื่อพังผืดและจุดปวดเกร็งถูกสลายออกไป การยึดเกร็ง การตึงรั้งระหว่างหมอนรองกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียงก็จะหายไปด้วย หมอนรองกระดูกที่เคยเคลื่อนออก หรือข้อกระดูกที่เคยทรุด จะค่อยๆ ฟื้นตัวและ ขยับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม ได้เอง ตามกลไกการซ่อมแซมของร่างกาย

ขั้นตอนการนวดสลายพังผืดนี้ เป็น หัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ ดีขึ้นได้อย่างถาวร

การนวดสลายพังผืดที่ได้ผลนั้น จะต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริง จะทำได้เพียง กดให้พังผืด “นิ่มลงเท่านั้น” ไม่ได้สลายออกไป ซึ่งเป็นการบรรเทาอาการเพียง “ชั่วคราว” เพราะตราบใดที่เรายังใช้ร่างกายทำอิริยาบถต่างๆ ในทุกๆ วัน พังผืดที่นิ่มตัวลงไปก็สามารถกลับมา “แข็งตัวเป็นก้อน” ใหม่ได้เสมอ ผู้ป่วยก็จะกลับมา “มีอาการซ้ำๆ” อีกในอนาคต

  • ขณะทำการรักษา ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บค่อนข้างมากนะคะ ส่วนใหญ่จะเจ็บในขั้นตอนของการสลายพังผืดและสลาย trigger points ค่ะ ถ้าผู้ป่วยเคยผ่านการนวดแบบเจ็บๆ มาบ้าง จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่ทนเจ็บไม่ได้เลย เราไม่แนะนำให้มาค่ะ
  • ในผู้ป่วยบางเคส หลังทำการรักษา อาจจะมีรอยฟกช้ำ ถ้าบริเวณนั้นมีชั้นไขมันอยู่เยอะ เช่น ต้นแขน ต้นขา ก้น ใต้ข้อพับเข่า เป็นต้น รอยช้ำเหล่านี้ไม่มีอันตรายใดๆ และสามารถจางไปได้เองภายใน 2 สัปดาห์ค่ะ
  • ในผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังสะสมมานาน ผู้ป่วยต้องใจเย็นและให้เวลากับทางคลินิกในการรักษา เพราะเราต้องรักษาไปทีละขั้นตอน เปรียบเสมือนการขุดขยะที่ฝังอยู่ใต้พรมให้ออกมา ยิ่งเป็นมานาน ยิ่งมีขยะซ่อนอยู่เยอะ ก็ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าจะขุดออกมาจนหมด แต่เมื่อแก้ออกจนหมดแล้ว ผู้ป่วยจะได้ร่างกายใหม่ที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิม สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่เป็นภาระให้กับใครเมื่ออายุมากขึ้น
  • ผู้ป่วยที่มารักษาแล้วไม่เห็นผล ส่วนใหญ่คือผู้ป่วยที่มีอาการสะสมมานานหลายปี แต่ใจร้อนอยากหายไวๆ โดยมากเมื่อมารักษา 1-2 ครั้งแรก แล้วถ้าอาการไม่ดีขึ้นตามที่คาดหวัง ก็จะหยุดการรักษาไปกลางครัน

❌ ที่คลินิกไม่รับนวดรักษาผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวเกิน 90 kg

❌ ที่คลินิกไม่รับนวดรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน

❌ ที่คลินิกไม่รับนวดรักษาในผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์

❌ ที่คลินิกไม่รับนวดรักษาในผู้ป่วยที่ยังมีรอยฟกช้ำอยู่

❌ ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจ คลินิกจะไม่รับนวดบริเวณ คอบ่าไหล่ แต่อาการอื่นสามารถนวดได้

❌ ผู้ป่วยที่มีโรคความดันสูง จะต้องทานยาคุมความดันมาก่อนเข้ารับการรักษา

ค่ารักษาจะอยู่ที่ 2100/ครั้ง (รักษาเดือนละ 1 ครั้ง)

ทางคลินิกสามารถออก “ใบรับรองแพทย์” และ “ใบเสร็จ” สำหรับผู้ป่วยบางท่านที่อาจนำไปใช้เบิกได้

ถ้าเคยผ่าตัดมาแล้ว จะรักษายากกว่าเคสที่ยังไม่ผ่าตัดนะคะ ดังนั้นจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 500.- บาทค่ะ

สามารถจองคิวทางโทรศัพท์ ไลน์ หรือ Facebook page ได้ค่ะ
แต่เนื่องจากคลินิกของเรารับรักษาผู้ป่วยในแต่ละวันจำนวนค่อนข้าง “จำกัด” เพราะต้องการใช้เวลารักษาผู้ป่วยแต่ละท่านอย่าง “เต็มที่” และที่คลินิกคิวจะเต็มเกือบทุกวัน ดังนั้นหากผู้ป่วยต้องการจองคิวรักษา หลังจากนัดวัน-เวลาแล้ว จะต้องขออนุญาตให้ทำการ “โอนมัดจำ” เพื่อล็อคคิวที่แน่นอนไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการตัดโอกาสแก่ผู้ป่วยท่านอื่นๆ ค่ะ

อย่าทน กับอาการที่เป็นอยู่ เพราะยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งแก้ยาก สุขภาพจิตยิ่งเสียหนัก และยิ่งเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าในอนาคต

© Copyright 2020 - นวดแก้อาการ รักษา ปวดหลัง กระดูกทับเส้น ปวดคอ ออฟฟิศซินโดรม ปวดเข่า